เทศน์เช้า วันที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๖๑
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ตั้งใจฟังธรรมะนะ ตั้งใจฟังธรรมะ ธรรมะ เราเป็นชาวพุทธ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มันเป็นรัตนตรัย เป็นแก้วสารพัดนึก เป็นสิ่งที่มีคุณค่ามาก
มันก็เหมือนกับพวงมาลัย นักร้องไง เวลาเขาไปร้องเพลงเขาได้คล้องพวงมาลัยไง นี่ก็เหมือนกัน พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์จะคล้องหัวใจเราไง เรารอแต่ให้พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์มาคล้องหัวใจเราไง ว่าเรานี้เป็นคนที่ยิ่งใหญ่ เราเป็นคนที่ยอดเยี่ยม เราเป็นคนที่มีบุญมาก ถ้าธรรมะต้องมาคล้องหัวใจเราๆ คิดกันอย่างนั้นไง
แต่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะเป็นถึงกษัตริย์นะ เป็นถึงกษัตริย์ แล้วเวลาเป็นถึงกษัตริย์แล้ว เวลาออกบวชแล้วออกประพฤติปฏิบัติมันต้องค้นคว้าต้องพยายามฝึกหัด ต้องพยายามประพฤติปฏิบัติให้มันได้ขึ้นมาเป็นความจริงในใจของตน มันไม่มีใครมาคล้องให้หรอก
พระพุทธศาสนาที่ว่ายอดเยี่ยม ยอดเยี่ยมอย่างนี้ไง ยอดเยี่ยมว่า ไม่ต้องมีพระเจ้ามาเปิดโลก ไม่ต้องมีพระเจ้ามาตัดสิน ไม่ต้องอ้อนวอนพระเจ้าองค์ใดทั้งสิ้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปฏิเสธหมดนะ ปฏิเสธหมดเลย
เทวดา อินทร์ พรหมยังต้องมาฟังเทศน์องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เทวดา อินทร์ พรหมขนาดว่าสูงส่งขนาดไหน เวลามาฟังเทศน์ มาฟังเทศน์มนุษย์นี้ เพราะมนุษย์นี้เป็นผู้ที่มีสติมีปัญญา มนุษย์นี้เป็นผู้ค้นคว้า มนุษย์นี้เป็นผู้มีอริยสัจสัจจะความจริงในใจของตน ชำระล้างกิเลสในใจของตน พอชำระล้างกิเลสในใจของตน เห็นถึงว่ากิเลสที่มันตายไป ตายซากไปกลางหัวใจนี้ เพราะอะไร เพราะคนที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เพราะมันมีกิเลสตัณหาความทะยานอยาก เพราะมีอวิชชามันถึงได้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ
คนทำคุณงามความดีมากน้อยขนาดไหน บุญกุศลนั้นไปส่งให้เกิดเป็นเทวดา อินทร์ พรหม ในเมื่อมีการเกิด การแก่ การเจ็บ การตายอยู่ เทวดา อินทร์ พรหมก็มีการเกิด การแก่ การเจ็บ การตายเหมือนกัน การเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะเหมือนกัน มันจะยิ่งใหญ่ไปไหน ถ้ามันไม่ยิ่งใหญ่ไปไหน มันอยู่ที่เรานี่ไง ถ้ามันอยู่ที่เรา ตัวเรายิ่งใหญ่ จิตใจเรายิ่งใหญ่
แต่จิตใจเรายิ่งใหญ่ไม่ได้ จิตใจเรายิ่งใหญ่ไม่ได้เพราะเราอ่อนแอ เราอ่อนแอ เราอยากเป็นนักร้อง อยากให้คนมาคล้องพวงมาลัย
นี่ก็เหมือนกัน อยากจะยิ่งใหญ่ อยากจะได้มรรคได้ผล แต่อ้อนวอนเอา ให้คนมาส่งเสริมเอา ให้คนมายกย่องสรรเสริญเอา
แต่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่เป็นอย่างนั้นเลย เริ่มต้นจากวัฒนธรรมประเพณี มาวัดมาวา จูงลูกจูงหลานมาวัดมาวา จูงลูกจูงหลานมาวัดมาวา ลูกหลานที่มันไปวัดไปวาขึ้นมาแล้วมันจะตัดสินได้เลย พระวัดนี้ดูสงบเสงี่ยมดี พระวัดนี้ โอ้โฮ! ดูสิ นักเลงมากเลย ไอ้พระวัดนี้มันไม่เคยสำรวมระวังเลย ไอ้เด็กมันจะเห็นของมัน มันวินิจฉัยของมัน มันพิจารณาของมัน เพราะอะไร เพราะเราพาไปวัดไปวา พอไปวัดไปวามันพัฒนาของมันขึ้นมา มันพัฒนาของมันขึ้นมา
เวลาเรามาทำบุญๆ ทำบุญ เจตนาอันนั้นมันยิ่งใหญ่แล้ว หัวใจที่เราก้าวออกจากบ้านมาอันนั้นน่ะสำคัญมาก แล้วมันสำคัญมาก แต่มันเป็นวัฒนธรรม ถ้าไปวัดแล้วต้องมีการถวายทาน ถวายทานขึ้นมาแล้ว แล้วคนมากก็ต้องลำเลียงอาหารไว้ แล้วคนนู้นก็นั่งปัด คนนี้ก็นั่งปัด แมลงวันมันก็วางไข่ วางไข่จนมันฟักเป็นตัว ฟักเป็นตัวเสร็จแล้วพระยังไม่พร้อมเลย พอพระพร้อมแล้วพระจะให้ศีล ให้ศีล ต้องถวายทาน แมลงวันมันบินไปตั้งหลายเวอร์ชันแล้วยังไม่จบ
แต่การประพฤติปฏิบัติ อันนั้นเป็นบุญกุศลไหม มันเป็นบุญกุศล มันเป็นศาสนพิธี เพราะอะไร เพราะคนมันโลเล เพราะคนมันไม่มั่นใจ เพราะคนไม่มั่นใจ ถวายทานแล้วละล้าละลัง ละล้าละลัง ก็ต้องมีวิธีการให้มันจบสิ้นไปซะ พอพิธีการมันจบสิ้นไปแล้ว เออ! นั้นคือการถวายทาน โอ้โฮ! ได้บุญยิ่งใหญ่ อู๋ย! พวงมาลัยคล้องเต็มคอเลย
แต่ถ้าเราไปวัดไปวาขึ้นมา พระเขาตัดพิธีออกทั้งหมด เวลาครูบาอาจารย์เราท่านตัดพิธี พิธีนี้มันจะมาเบียดบังความเห็นจริงในใจ พอความเห็นจริงในใจ มันเป็นเรื่องทำบุญทิ้งเหวๆ เรามีเจตนาของเรามาแล้ว ทำมาแล้วเราถวายทานไป การที่ท่านรับจากมือเรานั่นน่ะจบแล้ว
แล้วเวลารับจบแล้ว เวลาภิกษุทำภัตกิจๆ เวลาทำหน้าที่การงานก็ทำหน้าที่การงานของเขาไป เวลาฉันอาหารก็เป็นกิจกรรมอย่างหนึ่ง พอกิจกรรมอย่างหนึ่ง กิจกรรมเพื่อเลี้ยงชีพ ถ้าเลี้ยงชีพขึ้นมาแล้ว ผู้ที่ฉลาดฉันภัตตาหารนั้นเสร็จแล้ว ทำภัตกิจเรียบร้อยแล้ว ได้ล้างบาตร ได้เช็ดบาตร ได้ผึ่งผ้าแล้ว เสร็จแล้วให้เข้าทางจงกรม ใครเข้าฌานสมาบัติได้ก็รักษาใจของตน ใครจะใช้ปัญญาก็ใช้ปัญญาของตน เขาเข้าสู่ทางจงกรม เขานั่งสมาธิภาวนาเพื่อต่อเนื่องไป แล้วเวลาเข้าไปแล้ว ภาวนาแล้วมันโงกง่วงอย่างไร ภาวนาแล้วมันได้เป็นอย่างไร นี่สัปปายะ สัปปายะมันส่งต่อกันไป ถ้ามันส่งต่อกันไป การพิจารณาไง
แก้วสารพัดนึกไง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เรามีศรัทธามีความเชื่อของเรา เรามาวัดมาวาของเรา ถ้าเรามีศรัทธาความเชื่อ เราบวชเป็นพระ เราบวชเป็นพระขึ้นมาเราเป็นสมมุติสงฆ์ พอสมมุติสงฆ์ขึ้นมา เราจะประพฤติปฏิบัติขึ้นไป พอปฏิบัติแล้วมีคุณธรรมขึ้นมาในหัวใจหรือไม่ ถ้ามีคุณธรรมขึ้นมาในหัวใจเรา พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์สมบูรณ์ไง
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมมีรัตนะ ๒ มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากับพระธรรม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธัมมจักฯ พระอัญญาโกณฑัญญะมีดวงตาเห็นธรรม มันแก้วสารพัดนึก มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์พร้อมสมบูรณ์ขึ้นมา พร้อมสมบูรณ์ขึ้นมาเพราะการกระทำของเรา เห็นไหม
นี่ก็เหมือนกัน วัดวามันมีกิจกรรมต่อเนื่องๆ กันไป พอต่อเนื่อง มีหยาบ มีกลาง มีละเอียด นี่พิธีกรรม พิธีกรรมมันก็เรื่องพิธีกรรมนะ พิธีกรรมมีความสำคัญ สำคัญกับฝึกหัดๆ ชาวพุทธเรา
ชาวพุทธถ้าไม่มีประเพณีวัฒนธรรม ไปทำไม ไปวัดไปทำไม พระก็ลูกชาวบ้าน
ก็ลูกชาวบ้านสิ ไม่ใช่ลูกชาวบ้านแล้วลูกใคร ก็ลูกประชาชนนั่นน่ะพระ พระก็ลูกประชาชน มันไม่ใช่ลูกชาวบ้านแล้วเป็นลูกใคร ก็ลูกชาวบ้านทั้งนั้นน่ะ แต่เขาทรงศีลทรงธรรมหรือไม่ เขาได้ประพฤติปฏิบัติดัดแปลงตนเขาหรือไม่
ถ้าเขาได้ดัดแปลงตนของเขา ดัดแปลงตนของเขาให้เป็นลูกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นพุทธชิโนรส เป็นบุตรขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นศากยบุตร บุตรขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าเป็นบุตรขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามันเป็นที่ไหน ธรรมทายาทๆ ธรรมทายาทผู้ทรงธรรมทรงวินัย
หลวงตาท่านเน้นย้ำกับพระตลอด “พระทรงธรรมทรงวินัยไม่ได้ ใครจะทรง”
นี่ไง เวลาแจกเลย มรรคผลนิพพานแจกประชาชนหมดเลย แต่พระเอาตังค์ มาได้เลย ยิ่งถวายมากยิ่งได้บุญมาก แล้วมรรคผลให้โยมนะ ใครมาปฏิบัติ “อู้ฮู! คนนั้นเผาแล้วเป็นพระธาตุ โอ้โฮ! กระดูกเป็นสีชมพูเลย” แล้วพระล่ะ พระเปิดบัญชีใช่ไหม นับเงินอยู่นั่นหรือ
มันหน้าที่ของพระ มันไม่ใช่หน้าที่ของโยม หน้าที่ของโยมของเขานะ เขามาวัดมาวา ถ้าเขามีจิตใจของเขาที่เป็นธรรมๆ มันเป็นตรงนั้นน่ะ
เวลาธรรมะที่เกิด เกิดที่ในหัวใจของสัตว์โลก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนารื้อสัตว์ขนสัตว์ เห็นไหม จิตนี้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ จิตนี้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฎะ มันปิดหูปิดตาถึงมาเกิดเป็นมนุษย์ เกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนาด้วยเวรด้วยกรรม กรรมเก่ากรรมใหม่มันส่งเสริมมาขนาดไหนได้เกิดเป็นมนุษย์เหมือนกัน เกิดเป็นมนุษย์เหมือนกันแต่มีความคิดแตกต่างกัน มีแรงปรารถนาแตกต่างกัน มีความต้องการแตกต่างกัน ถ้าแตกต่างกันนั้นพันธุกรรมของจิต พันธุกรรมของจิตสิ่งที่ได้สร้างสมมา
คนเราเกิดมามืดไปสว่าง คนเราเกิดมา บางคนเกิดมา เด็กน้อยเป็นเด็กกตัญญู ขวนขวายเลี้ยงชีพของตน พยายามทำตนไม่ให้เป็นภาระของสังคม ช่วยกันดูแลสังคมจนสังคมยอมรับนับถือเขาว่าเขาเป็นคนดีคนหนึ่ง เขาเกิดมามืด เกิดมาด้วยความทุกข์ความยาก เกิดมาด้วยความขัดสน แต่เขาจะไปสว่าง ไปถึงที่สังคมยกย่องสรรเสริญไง
เวลาคนเกิดมาสว่างนะ เกิดมาทุกอย่างเพียบพร้อมไปหมดเลย แต่พ่อแม่เลี้ยงมาจนอ่อนแอ สังคมในปัจจุบันนี้ “พ่อแม่รังแกเรา พ่อแม่รังแกเรา” พ่อแม่รังแกเราเพราะอะไร เพราะพ่อแม่ไม่อบรมสั่งสอน พ่อแม่ไม่ทำตนเป็นตัวอย่าง
นี่ไง เวลาพระกรรมฐาน พระกรรมฐาน หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านทำตัวเป็นตัวอย่างนะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านอนสีหไสยาสน์ ไม่เคยนอนราบเลย นี่เป็นตัวอย่างๆ คนที่ทำเป็นตัวอย่างได้ ชีวิตที่เป็นแบบอย่าง ชีวิตที่เป็นแบบอย่าง หนึ่งตัวอย่างดีกว่าร้อยคำสั่ง นี่สั่งสอนเขาสั่งสอนโดยความเป็นจริง แล้วยังทำตนให้เห็นด้วย เห็นไหม ปฏิบัติแล้วเป็นอย่างนี้ เห็นไหม ปฏิบัติแล้วไม่เคยหวั่นไหวกับสิ่งใดทั้งสิ้น
เวลาธรรมะมันเกิดขึ้นมา ธรรมในหัวใจ ธรรมที่เลอค่า ธรรมที่เหนือวัฏฏะ เหนือวัฏฏะแล้วเอ็งไปจมอยู่กับวัฏฏะทำไม เหนือวัฏฏะแล้วเอ็งไปยอมจำนนกับวัฏฏะทำไม ถ้าเอ็งเหนือวัฏฏะ เอ็งต้องเหนือวัฏฏะสิ ถ้าเหนือวัฏฏะขึ้นมา เหนือเพราะอะไร เหนือเพราะว่าการฝึกหัด มันต้องฝึกหัด
คนเราเกิดมามีกิเลสทั้งหมด คนไม่มีอวิชชา ไม่มีกิเลสจะมาเกิดได้อย่างไร คนเกิดมาด้วยอวิชชาด้วยความไม่รู้ทั้งสิ้น แต่เวลาเกิดมาแล้ว เกิดมาด้วยการสร้างสมบุญญาธิการมา ดูสิ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปเที่ยวสวนเห็นคนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนตาย ได้คิดนะ ได้คิดเลยนะ มันต้องมีฝั่งตรงข้ามที่ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย แต่ใครสอน ไม่มีใครสอนไง
แต่เวลาวัฒนธรรมของเราไปวัดไปงานศพเวียนสามรอบ เวียนสามรอบนั่นน่ะ กามภพ รูปภพ อรูปภพ มันต้องเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะอย่างนี้ เวลาล้างหน้าศพต่างๆ นั่นมันเป็นคำสอนทั้งนั้น กุสลา ธมฺมา อกุสลา ธมฺมา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปเทศน์สอนพระมารดาจนเป็นพระโสดาบันจนสิ้นกิเลสไป
นี่ก็เหมือนกัน ไปวัดไปวาสวดทุกวัน ทำทุกวัน เพราะอะไร เพราะประเพณีไง พิธีกรรมไง พิธีกรรมเหมือนมาวัดนี้ไง โอ้โฮ! ต้องถวายทาน ต้องทำอะไรให้พิธีกรรมมันยืดยาวไป ความยืดยาวไปมันก็เป็นพิธีกรรม พอเสร็จพิธีกรรมก็จบไง เสร็จพิธีกรรมก็กลับบ้าน
นี่ก็เหมือนกัน กุสลา ธมฺมา อกุสลา ธมฺมา กุสลา ธมฺมา คนตายทำบุญมาหรือทำบาปมา คนตายทำดีมาหรือทำชั่วมา นี่ไง เวลาทำชั่วนะ เหตุปจฺจโย เป็นธาตุเป็นขันธ์ มนุษย์ประกอบไปด้วย ธาตุ อารมณ์ ความรู้สึก จิต นี่สวดทุกวันๆ
ข้าวต้มอร่อยไหม มันไม่ได้ฟังธรรมเลย มันไม่ได้สะกิดใจเลย ไม่ได้ไปเห็นคนตายว่าฉันก็ต้องตายเหมือนกัน ไม่ได้ไปเห็นคนตาย คนตายตายแล้ว แล้วเราก็ต้องตายตามไป ไม่ได้คิดเลย
นี่ไง ประเพณีไง ประเพณีเป็นสิ่งที่ดีงาม ดีงามสำหรับฝึกหัดผู้ที่ประพฤติปฏิบัติใหม่ ผู้ที่ไม่เข้าใจก็ฝึกหัดเพื่อความหูตาสว่าง เพื่อความเข้าใจในหลักพระพุทธศาสนา
นี่ไง การศึกษาๆ ศึกษามาเพื่อประพฤติปฏิบัติ เราศึกษามาๆ พอศึกษามาจบแล้ว ฉันเป็นชาวพุทธ ฉันมีความรู้...ความรู้ไว้ทำไมล่ะ
หลวงตาท่านพูดนะ ความรู้ ปัญญาของคนหุงต้มหุงแกงกินไม่ได้
ความรู้กินไม่ได้ ความรู้นี่ ถ้าความรู้เป็นอกุศล ความรู้ยิ่งทำให้เสียหาย แต่ถ้าความรู้พยายามปฏิบัติขึ้นมาให้เป็นความจริงในใจ ปัญญานั้นมันสามารถแยกแยะ
นี่ไง คนจะล่วงพ้นทุกข์ด้วยความเพียร เวลาประพฤติปฏิบัติมันจะล่วงพ้นทุกข์ด้วยปัญญา ปัญญานี้ปัญญาญาณนะ ไม่ใช่ปัญญาที่กิเลสหลอกใช้
ปัญญาที่ว่าฉันมีความรู้มาก พอความรู้มากก็ตั้งวงแล้ว เถียงกันเรื่องธรรมะ มึงเถียงกันไปเถอะปากเปียกปากแฉะน้ำลายแตกฟองเลย แต่ไม่ได้อะไรขึ้นมาเลย ได้แต่แพ้ชนะ แล้วแพ้ชนะก็สร้างเวรสร้างกรรมทั้งนั้นเลย แล้วก็จะมาตั้งวงเถียงกันรอบต่อไป เถียงกันอยู่อย่างนั้นน่ะ แต่ไม่ได้เถียงกันเรื่องกิเลสในหัวใจของตนเลย
แล้วเวลาเถียงเรื่องกิเลสในหัวใจของตน “โอ๋ย! เห็นกายๆ”
เห็นกาย โรงพยาบาล อาจารย์ใหญ่สอนให้คนเป็นหมอ แล้วกายสอนให้เอ็งเป็นอะไร สอนให้เอ็งหัวปักหัวปำกับกิเลสตัณหาความทะยานอยากของเอ็งใช่ไหม
เวลาการเห็นกาย เห็นกายมันเห็นเป็นไตรลักษณ์เห็นไปแล้ว นี่กายเขา กายเรา มันเห็นแล้วจิตใจมันเบาบาง ไม่ยึดมั่นถือมั่น ไม่ยึดติดกับอะไรทั้งสิ้น ความไม่ยึดมั่นถือมั่น แต่มันมีคุณธรรม มันมีสติปัญญาเป็นหลัก
ไม่ใช่ไม่ยึดมั่นถือมั่นแล้วก็ไม่มีอะไรเลย ไม่ยึดมั่นถือมั่นแล้วก็ทิ้งไปหมดเลย ไม่ยึดมั่นถือมั่นไม่มีอะไรเลย ไม่ยึดมั่นถือมั่น
อย่าเผลอนะ เวลาคนที่ปฏิบัติเราฟังแล้วมันเศร้าใจ เยอะมาก เมื่อก่อนเป็นคนขี้โกรธ เมื่อก่อนเป็นนักเล่นการพนัน เมื่อก่อนเป็นคนเมาเหล้า เดี๋ยวนี้ไม่เมาเลย
สสส.มันดีกว่า สสส.มันบอกให้เลิกเหล้า สสส.มันตั้งงบประมาณด้วยนะ มันทำโฆษณาด้วย นี่ไง เลิกเหล้าก็คือเลิกเหล้า เลิกเหล้าแล้วมันได้อะไรต่อไปล่ะ ไม่โกรธ ไม่โกรธเอ็งก็เป็นคนอยู่เหมือนเดิมไง แล้วอะไรต่อไปล่ะ
นี่ไง ความโลภ ความโกรธ ความหลง ความโลภ ความโกรธ ความหลงมันสิ่งที่เอ็งมองไม่เห็น มันอยู่ในภวาสวะ อยู่ในจิต สิ่งใดที่มีสติมีปัญญาขึ้นมา เรามีสติปัญญาเท่าทันธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เท่าทันนะ
ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามานั่นคือทรงจำธรรมวินัย แล้วก็ธรรมะอันนั้นมันก็เหมือนยา เราเจ็บไข้ได้ป่วยกินยามันก็จะหาย แต่เชื้อโรคในหัวใจมันไม่หาย เพราะเชื้อโรคในหัวใจนี้มันต้องใช้ธรรมโอส ธรรมโอสถคือศีล สมาธิ ปัญญาที่เกิดขึ้นมาจากในหัวใจ
เมื่อก่อนเป็นคนขี้โกรธมากเลย เดี๋ยวนี้ไม่โกรธแล้ว ไม่โกรธแล้วเลยนะ ไม่โกรธทั้งสิ้นเลย
ไม่โกรธเอ็งก็ตาย แล้วตายเปล่าๆ ด้วย ตายไม่ได้มีสมบัติติดมือไปด้วย แต่ถ้าเอ็งทำสมาธิขึ้นมา จิตสงบแล้วเอ็งเห็นกิเลสของเอ็ง นี่ไง มันไปเห็นต้นเหตุไง
ทุกคนมีกิเลสตัณหาความทะยานอยาก ตัณหาความทะยานอยากนี้มันเป็นต้นเหตุ เพราะธรรมชาติของการเกิดและการดับ ธรรมชาติของการเกิดและการดับ เพราะทุกคนต้องมีความรู้สึกนึกคิด ความรู้สึกนึกคิดนี้ เห็นไหม
เวลาพวกเรา พวกเราที่มีกิเลสตัณหาความทะยานอยากเขาเรียกขันธมาร รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณเป็นมาร เป็นมารเพราะกิเลสมันใช้ เป็นขันธมาร มันเป็นมารนะ มันกดมันบีบคั้นหัวใจ
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอาสวักขยญาณทำลายพญามารทั้งสิ้น ขันธ์ของท่าน ความคิดของท่านไม่มีกิเลส ไม่มีมาร ถ้าไม่มีกิเลส ไม่มีมารนะ แต่ก็ต้องบริหารจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต
ฉะนั้น พระอรหันต์มีสองประเภท ประเภทหนึ่งคือสอุปาทิเสสนิพพาน สะคือเศษส่วน คือเศษความคิด ความคิดที่มันเป็นสัจจะแต่ไม่มีกิเลสกับร่างกายนี้ แล้วเวลาถ้าถึงเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าฉันอาหารของนายจุนทะถึงซึ่งขันธนิพพาน
เวลาฉันอาหารของนางสุชาดาถึงซึ่งกิเลสนิพพาน ฉันอาหารของนางสุชาดาแล้วคืนนั้นนั่งพิจารณา บุพเพนิวาสานุสติญาณ จุตูปปาตญาณ อาสวักขยญาณ ทำลายอวิชชาฆ่ามารทั้งหมด ฆ่าครอบครัวมารในหัวใจทั้งหมด ท่านสำเร็จเป็นพระอรหันต์แต่ยังดำรงชีพอยู่ นี้การดำรงชีพอยู่คือพระอรหันต์ที่ยังดำรงชีพ มีชีวิตอยู่ ขันธ์นี้เป็นขันธ์ที่สะอาดบริสุทธิ์ ความคิดที่บวก ความคิดที่สังคม ความคิดเพื่อโลกเพื่อจะรื้อสัตว์ขนสัตว์
ฉันอาหารของนายจุนทะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการบอกพระอานนท์ไว้ “อานนท์ เธอบอกเขานะ” พิจารณานะ เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอนาคตังสญาณ ถ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้พูดไว้ นายจุนทะจะเป็นแพะรับบาป นายจุนทะจะโดนสังคมติฉินนินทาเลย เพราะฉันอาหารของนายจุนทะแล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพาน แสดงว่าอาหารของนายจุนทะนี้เป็นโทษทำให้พระพุทธเจ้านิพพาน นายจุนทะจะเป็นจำเลยสังคม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาบอกพระอานนท์ไว้ กันไว้เลย
“อานนท์ ทานในพระพุทธศาสนานี้ที่ยิ่งใหญ่มีอยู่สองคราว คราวหนึ่งเราฉันอาหารของนางสุชาดาแล้วเราถึงซึ่งกิเลสนิพพาน” กิเลสตัณหาความทะยานอยากในใจของท่านได้ชำระล้างไปโดยมรรคญาณ
“อีกคราวหนึ่งเราฉันอาหารของนายจุนทะแล้วเราถึงซึ่งขันธนิพพาน”
ขันธ์ ความคิดไง ที่เกิดดับๆๆ อยู่นี่ ถึงซึ่งขันธนิพพาน นี่ขันธ์ที่แบกรับภาระกันมาอยู่นี่ แล้วมันสะอาดบริสุทธิ์ พระอรหันต์ ความคิด ความคิดที่เป็นประโยชน์เป็นสังคม ไม่มีกิเลสตัณหาความทะยานอยากมาบีบคั้นไง สิ่งที่ไม่มีกิเลสตัณหาความทะยานอยากมาบีบคั้น สิ่งที่ว่าเป็นขันธ์ ขันธ์ที่เป็นภาระ ไม่ใช่ขันธมาร
ไอ้เราความคิดนี้เจ็บช้ำน้ำใจ บีบคั้นน้ำใจ เครียดจนจะเป็นจะตาย นี่ขันธมาร ขันธ์เป็นมาร ความคิดเป็นมาร ความคิดที่เกิดดับๆๆ มันมีมาร มีเชื้อโรค มันถึงบีบบี้สีไฟทำร้ายเรา
ความคิดของพระอรหันต์ ความคิดเกิดดับๆๆ นี่แหละ ไม่มีอะไรเลย เป็นแค่กิริยา หลวงตาท่านบอกเป็นแค่กิริยา เป็นแค่พลังงานที่ไม่มีมารควบคุม
นี่ไง ถ้ามันเป็นสัจจะเป็นความจริง เป็นความจริงอย่างนั้น ถ้าความจริงอย่างนั้นเราต้องประพฤติปฏิบัติขึ้นมาให้เรารู้จริงเห็นจริงขึ้นมาในความเป็นจริงของเราขึ้นมา แล้วพอเห็นจริงขึ้นมาแล้ว เห็นไหม มันเป็นผลของวัฏฏะ การเกิดและการตายที่มาประสบพบกันมามีเวรมีกรรมต่อกัน มีการบีบบี้สีไฟ มีการเชิดชูกัน มันมีที่มา มันมีที่มา มันมีที่ว่า เวลาผลของวัฏฏะมันมีที่มาเพราะเราได้สร้างสมมา ในชาตินี้เราเป็นเพื่อนกัน เราเป็นสังคมด้วยกัน แล้วเวลาตาย เกิดคนเดียว ตายคนเดียว
เกิดมาก็เกิดมาคนเดียว แต่เพราะมีสายสัมพันธ์กันมา มีสายบุญสายกรรมถึงได้มาเกิดเป็นพ่อเป็นแม่เป็นลูกเป็นหลานกัน เกิดมาเป็นเพื่อนเป็นฝูงกัน แล้วเกิดมาเป็นเพื่อนที่ดี เป็นเพื่อนที่เจ็บช้ำน้ำใจ มันมีของมันทั้งนั้นน่ะ
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงบอกว่า ให้แผ่เมตตา เมตตาธรรมค้ำจุนโลก
นี่ไง มันเป็นเรื่องของสัตว์โลก มันไม่ใช่ในชาตินี้ มันไม่ใช่มาเจอกันตอนนี้แล้วมาไฟต์กันตอนนี้หรอก ถ้ามันไม่มีเวรมีกรรมต่อกันมา ไม่มาเจอกันหรอก แล้วถ้ามาเจอกันแล้วนะ ผลของวัฏฏะ มาเจอกันแล้วก็แยกกันไป แต่แยกกันไปด้วยน้ำใจของเรา
คนที่ทำดีกับเรา เราขอบคุณ คนที่ทำร้ายต่อเราก็ เออ! ให้อภัยต่อกัน แล้วก็อย่ามาเจอกันอีกนะ ไปซะ มันต้องมี ถ้ามันไม่มีเวรมีกรรมมันไม่มาเจอกันหรอก
แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้อภัย เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร จำไว้นะ เราไม่จองเวรจองกรรมใคร เราไม่ตามไปทำร้ายใคร เราไม่ผูกเวรผูกกรรมใคร แต่เขาสร้างของเขา เขาทำของเขาเป็นเวรกรรมของเขา เราต้องให้อภัย
แต่แพ้เป็นพระนะ แพ้เป็นพระต้องแพ้เป็นผู้ที่ฉลาด เราให้อภัยต่อเขา ต้องป้องกันตัวเราเอง ต้องดูแลรักษาของเราเอง ไม่ใช่ให้อภัยเขาแล้วก็ก้มหน้าให้เขาตบหน้า ไม่ใช่
ให้อภัยเขาแล้วป้องกันตัวเอง แล้วก็หลบหลีกไป ไม่ให้หัวใจเราขุ่นมัว ไม่ให้หัวใจของเราผูกเจ็บ ไม่ให้หัวใจเราไปมีเรื่องกับเขา เขาจะทำอะไรเป็นเรื่องของเขา เรารักษาหัวใจของเราตามธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แพ้เป็นพระ
เราเป็นพระ ชนะเป็นมาร ผู้ที่เที่ยวชนะคะคานเขา ทำลายเขา นั้นคือพญามาร มารมันเที่ยวรุกรานคนอื่น แต่เราไม่ใช่มาร แล้วเราก็ไม่ใช่ซื่อบื้อ เราเป็นพระต้องมีสติมีปัญญา
คนถามเยอะมาก “เขาเป็นหนี้ หนูต้องทวงเขาไหม”
ทวง เขาเป็นหนี้ต้องทวง เราทวงเขาเป็นสิทธิ์ของเรา แต่ถ้าเขาสุดวิสัย เวรกรรมเก่า ถ้าไม่ได้ ไม่ได้ก็แบบว่าทำใจของเรา แต่ต้องตามถึงที่สุด เพราะมันสิทธิของเรา มันของของเรา ต้องแพ้เป็นพระ แพ้แบบมีสติปัญญา ไม่ใช่แพ้แบบไม่มีเหตุไม่มีผล
เราแพ้ เราแพ้เขาด้วยวัตถุภายนอก แต่เราชนะ เราชนะกิเลสตัณหาความทะยานอยาก เราชนะไอ้คนยุแหย่ในใจของเรา เราชนะไอ้พวกกระพือในใจมันจะยุแหย่ให้เราทำกรรมชั่ว ให้เรารุกล้ำ ให้เราทำความผิด ให้เราเป็นทาสมันอีกไง เราชนะ ชนะกิเลสในใจของเรา เอวัง